Home Guide 3 ขั้นตอนการเดินหน้าต่อหากไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง

3 ขั้นตอนการเดินหน้าต่อหากไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง

by khomkrit

เจอบทความนี้แล้วน่าสนใจตรงที่เรามักได้ยินคนพูดให้กำลังหรือปลอบใจกันบ่อยๆ ว่า “สู้ๆ นะ ยังไงชีวิตก็ต้องเดินต่อไป” แต่สำหรับบางคนเขาก็รู้แหละว่าชีวิตต้องเดินต่อ แต่ที่ไม่รู้และยิ่งทำให้รู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีกก็คือ พอรู้ว่าชีวิตเราต้องไปต่อ แล้ว… เราจะไปต่ออย่างไรดีล่ะ?

เชื่อว่าหลายคนก็เป็น เกี่ยวกับการที่ตอนแรกๆ เวลาเราเริ่มทำอะไร เราก็ก็เริ่มได้แหละ เริ่มจากเล็กๆ ก่อน แต่พอทำไปได้สักพักก็รู้สึกว่าหมดแรงบันดาลใจ หมดแรงทำต่อแล้ว คำถามก็คือทำยังไงเราถึงจะยังทำมันต่อได้ ทำยังไงเราถึงจะเดินไปข้างหน้าต่อได้แม้เราจะไม่รู้ว่าอนาคตจะเจอกับอะไร

นี่คือ 3 ขั้นตอนที่แนะนำให้ทำ หากไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินต่อยังไงดี

อยู่กับปัจจุบัน

ความกังวลส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นการคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นพรุ่งนี้ หรืออะไรจะเกิดขึ้นในปีนี้นะ แต่ที่แน่ๆ โลกยังไม่แตกพรุ่งนี้แน่นอน

การกังวลถึงอนาคตมากๆ เข้าบางทีมันอาจทำให้เรารู้สึกกลัวเกินเหตุ แต่ถ้าเรากำลังอยู่ในสถานะที่จิตใจไม่โอเค คนจะกังวลยังไงก็กังวล

แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ? สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้คือให้โฟกัสอยู่กับปัจจุบัน นึกถึงว่าอะไรที่เดี๋ยวเราจะทำต่อไป อย่าพึ่งไปโฟกัสที่อะไรที่เราจะต้องทำมันแบบ big move หรือต้องคิดวางแผนเยอะๆ เอาง่ายๆ เลย เดี๋ยวเราจะทำอะไรต่อไป หลังจากจบบทความนี้ก็ยังได้

บางทีพรุ่งนี้โลกอาจจะแตกจริงๆ ก็ได้นะ แต่เราจะโอเคกับการเสียเวลาชีวิตในวันนี้ วันสุดท้ายของชีวิตไปกับเรื่องไร้สาระจริงๆ เหรอ? ทำให้วันนี้คือวันที่มีค่าเถอะ ลืมอดีต และเลิกกังวลกับอนาคตแล้วลงมือทำเถอะ

ตั้งเป้าหมายกับอะไรที่เราควบคุมมันได้

เรานี่แหละ ควบคุมชีวิตของเราเอง

Never give the wheel to someone else. You’re the ruler of your kingdom. You’re in the driver’s seat.

อย่าคาดหวังว่าใครจะชื่นชม หรือให้รางวัลอะไรกับเรา (รวมถึงยอดวิว และการกดไลค์อะไรต่างๆ ใน social network ด้วย) เพราะเราควบคุมเขาไม่ได้ หรือแม้แต่ถ้าวันหนึ่งเจ้านายเลิกจ้างเรา แล้วไง? เราก็ควบคุมเขาไม่ให้เลิกจ้างเราในวันหนึ่งได้เหมือนกัน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงควรโฟกัสอยู่กับสิ่งที่เราควบคุมมันได้ ถ้าเรากำหนดเป้าหมาย โดยที่เป้าหมายนั้นผูกพันกับสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมมันได้มากเกินไป เราจะคิดว่าความสำเร็จมันเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยากยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น นั่นยังทำให้ความสำเร็จของเราขึ้นอยู่กับคนอื่นอีกต่างหาก

หน้าที่ของเราคือการพัฒนาตัวเอง สร้างบางอย่าง เป็นคนดีต่อสังคม ต่อคนรอบข้าง ต่อเพื่อนร่วมงาน และตั้งใจทำดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

ให้ลองนึกถึงว่าอะไรบ้างที่เราควบคุมมันได้จริงๆ… พบว่ามีน้อยใช่ไหม แต่ลองตรองดูอีกที จริงๆ มันก็แค่ งานที่เรากำลังทำ การเรียนรู้ของเรา ไอเดียใหม่ๆ ของเรา นี่คือสิ่งง่ายๆ ที่เราสามารถควบคุมมันได้ สิ่งที่เราต้องทำจริงๆ ก็คือหากระดาษมาสักแผ่นแล้วเขียนเป้าหมายลงไป แล้วก็ทำตามเป้าหมายนั้น แค่นี้เอง

ปรับเปลี่ยนถ้าจำเป็น

เมื่อก่อนเคยมีคนทำ Podcast ชื่อ Tim Ferriss ที่มีคน follow กว่า 1.6 ล้านคน เขาเคยพยายามเปลี่ยนแนวทางธุรกิจของเขาเกี่ยวกับการหารายได้จาก Podcast จากเดิมที่เป็นการหารายได้จากโฆษณาก็เปลี่ยนมาเป็นขอเงินสนับสนุนจากแฟนๆ คนละ $10 ต่อเดือนแทน เขาบอกว่านี่คือการทดลองนะ ขอลองดูสัก 6 เดือน

หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เขาก็ล้มเลิกการรับบริจาคไปและคืนเงินให้แฟนๆ แล้วกลับไปหารายได้จากโฆษณาเหมือนเดิม

นี่แหละชีวิต มันไม่มีอะไรสาหัส เขาก็ยังทำ Podcast เหมือนเดิม และชีวิตเขาก็ไม่ได้พังทลายอะไร เขาแค่ลองปรับเปลี่ยนดูเท่านั้น

Ferriss บอกว่านี่คือการทดลอง และบางทีผลลัพธ์มันก็ได้มาเร็วกว่าที่เราคิด

และเขาพูดถูก ถ้าเราลองนึกดูดีๆ บางทีเวลาเราลองทำอะไรใหม่ๆ แล้วพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ไม่ว่าผลจะออกมายังไง เราก็ไม่เห็นว่าจะต้องกลัวต่อการตัดสินใจอะไรทำอะไรลงไปเลย

ส่งท้าย

ขั้นตอนที่ยกมาทั้งหมดนี้ เป็นแค่กุญแจที่จะช่วยให้เราพบหนทางที่เหมาะสมกับชีวิตของเรา แค่อยู่กับปัจจุบันและวันพรุ่งนี้ ตั้งเป้าหมายในสิ่งที่เราสามารถควบคุมมันได้ และลองปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เจอ

keep turning the knobs, my friend. When it sounds right, you’ll know.

มันชวนให้นึกถึงครั้งหนึ่งที่นักแต่งเพลงคนหนึ่งเคยตอบคำถามที่ว่าคุณแต่งเพลงหนึ่งๆ ได้ยังไง เขาตอบว่า เขาเริ่มจากเมโลดี้ จากนั้นค่อยเปลี่ยนมันเป็นเพลง และท้ายที่สุดค่อยๆ ปรับไปทีละนิดจนกว่ามันจะดูดี

ลองปรับเปลี่ยนชีวิตดูทีละนิด เมื่อไหร่ที่มันลงตัว… เราจะรู้เอง

You may also like